จัดฟันมีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร

จัดฟันมีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร

การจัดฟัน (Orthodontic) คือการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยจัดระเบียบฟันซ้อน ฟันเก หรือการสบฟันผิดรูปให้เรียงสวย ทำให้รอยยิ้มดูดีขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร ปัจจุบัน การจัดฟันแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามลักษณะของวัสดุและเทคนิคหลักที่ใช้ (ประเภทการจัดฟัน) โดยหลักๆ แล้วมี 5 ประเภทยอดนิยม ได้แก่ การจัดฟันแบบโลหะ, เซรามิก, ดามอน, ด้านใน (Lingual) และจัดฟันแบบใส (Invisalign) แต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียและราคาแตกต่างกัน จึงควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกแบบที่เหมาะกับตัวเอง

การจัดฟันคืออะไร

จัดฟันเป็นวิธีแก้ไขตำแหน่งฟันด้วยการใช้วัสดุจัดฟันที่ออกแรงดึงฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยอุปกรณ์จัดฟันจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามวัสดุและรูปแบบ เช่น จัดฟันแบบโลหะธรรมดา ที่ใช้โลหะแบบติดแน่นเป็นหลัก จัดฟันแบบเซรามิก ที่ใช้แบร็กเก็ตสีใกล้เคียงสีฟัน จัดฟันแบบดามอน ที่ไม่ต้องใช้ยางรัดฟันเพื่อลดแรงเสียดทาน และ จัดฟันด้านใน ที่ติดเครื่องมือไว้ด้านหลังซี่ฟันเพื่อไม่ให้เห็นจากภายนอก นอกจากนี้ยังมี จัดฟันแบบใส (Invisalign) ซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกใสที่สามารถถอดได้ การจัดฟันทั้ง 5 ประเภทนี้ช่วยแก้ปัญหาฟันเรียงตัวผิดปกติ และเพิ่มความมั่นใจด้านบุคลิกภาพ แต่ลักษณะเฉพาะและขั้นตอนการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเภท

จัดฟันมีกี่ประเภท

ประเภทของการจัดฟัน

หลักๆ การจัดฟันมีกี่ประเภท ที่นิยมนำมาใช้ ได้แก่ 5 ประเภท ดังนี้

1. จัดฟันแบบโลหะธรรมดา

การจัดฟันแบบโลหะธรรมดาเป็นประเภทที่พบได้บ่อย เหมาะกับคนไข้วัยรุ่นหรือผู้ที่ต้องการชุดจัดฟันที่ทนทานและราคาไม่สูง (ประมาณ 45,000–65,000 บาท) อุปกรณ์ประกอบด้วยแบร็กเก็ตโลหะสีเงินติดที่ผิวหน้าของฟันและใช้งานร่วมกับลวดและยางรัดสีสันต่างๆ ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถเลือกสีของยางรัดโอริง (O-Ring) ได้ตามชอบ

  • ข้อดี: ราคาประหยัดที่สุดในบรรดาทุกประเภท, อุปกรณ์แข็งแรงทนทาน, สามารถเปลี่ยนสียางให้ดูสนุกสนานได้ข้อเสีย: เห็นอุปกรณ์ชัดเจน มีโอกาสอับฝุ่นเศษอาหารติดง่าย, ต้องพบทันตแพทย์ทุกเดือนเพื่อปรับเครื่องมือ

  • ใครเหมาะ: เหมาะกับวัยรุ่นและผู้ที่ไม่ซีเรียสเรื่องความสวยงามมากนัก ต้องการผลลัพธ์ประสิทธิภาพสูงในงบประมาณไม่สูง

2. จัดฟันแบบเซรามิก

จัดฟันแบบเซรามิกใช้วัสดุเซรามิก (หรือวัสดุสีเหมือนฟัน) ทำเป็นแบร็กเก็ตติดที่ผิวฟันด้านหน้า คล้ายกับจัดฟันโลหะธรรมดา แต่มีสีใกล้เคียงกับเนื้อฟันจริง ทำให้มองเห็นเครื่องมือน้อยกว่าสีโลหะ แม้ว่าวัสดุหลักจะเป็นโลหะสำหรับยึดแน่นแบร็กเก็ต แต่แผ่นเซรามิกที่ติดหน้าฟันและยางยึดจะเป็นสีใสหรือสีขาว ดูเนียนไม่ฉูดฉาด

  • ข้อดี: ดูสวยงามและเรียบเนียนกว่าจัดฟันโลหะมาก ไม่น่าดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง ราคาค่าอุปกรณ์ยังไม่สูงถึงระดับดามอนหรืออินวิสไลน์ (ประมาณ 60,000–85,000 บาท)

  • ข้อเสีย: ต้องดูแลรักษาความสะอาดดี เพราะแบร็กเก็ตสีใสอาจมีคราบได้, ต้องพบทันตแพทย์ทุกเดือนเช่นเดียวกับโลหะธรรมดา

  • ใครเหมาะ: เหมาะกับผู้ใหญ่หรือวัยทำงานที่ต้องการจัดฟันเพื่อความสวยงาม ต้องการความหรูหรายิ่งขึ้น แต่มีงบประมาณจำกัด

3. จัดฟันแบบดามอน (Self-Ligating)

การจัดฟันดามอนเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Self-Ligating ซึ่งใช้แบร็กเก็ตพิเศษและลวดออกแรงดึงไม่ต้องใช้ยางรัดเหมือนแบบทั่วไป ประเภทนี้มีข้อดีที่พบความเจ็บปวดน้อยกว่าแบบโลหะธรรมดา เนื่องจากแรงเสียดทานน้อยกว่า และช่วยให้การเคลื่อนฟันเป็นไปอย่างนุ่มนวล

  • ข้อดี: ใช้ยางรัดน้อยลง จึงทำให้ทำความสะอาดง่ายกว่าและลดการสะสมของคราบ ช่วยให้ไม่ต้องพบทันตแพทย์บ่อยมาก (โดยทั่วไปแนะนำทุก 2-3 เดือน)

  • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าโลหะและเซรามิก (ประมาณ 70,000–95,000 บาท) เนื่องจากเทคโนโลยีอุปกรณ์ใหม่กว่าและสะดวกกว่า

  • ใครเหมาะ: เหมาะกับผู้ที่กลัวความเจ็บปวดหรือรำคาญการมาพบทันตแพทย์บ่อยๆ และมีงบประมาณมากพอ

4. จัดฟันด้านใน (Lingual Braces)

จัดฟันด้านในเป็นการติดเครื่องมือไว้ด้าน ในช่องปาก (ด้านหลังของฟัน) ทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็นอุปกรณ์แม้ขณะพูดหรือยิ้ม แบร็กเก็ตและลวดจะถูกออกแบบเฉพาะตามโครงสร้างช่องปากของแต่ละคนและมีขนาดเล็กลง

  • ข้อดี: ความโดดเด่นต่ำสุด เพราะมองไม่เห็นจากด้านหน้า เหมาะกับผู้ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์สูงมาก

  • ข้อเสีย: ค่าจัดสูงที่สุด (ประมาณ 150,000–180,000 บาท), แปรงทำความสะอาดยากกว่าและอาจต้องใช้เวลาปรับตัวนานกว่า, การทำเสียงพูดอาจลำบากในช่วงแรก

  • ใครเหมาะ: คนดัง ดารา หรือผู้มีอาชีพที่ต้องใช้หน้าตามาก เช่น พิธีกร นักแสดง ที่ต้องการซ่อนเครื่องมือ

5. จัดฟันแบบใสถอดได้ (Invisalign)

จัดฟันใสใช้ชุดอุปกรณ์พลาสติกใสที่ผลิตตามสแกนฟันผู้รับบริการ สามารถถอดเข้า-ออกได้ง่าย (นิยมเรียกอย่างหนึ่งว่า Invisalign) ทำหน้าที่ดึงฟันค่อยๆ ให้เคลื่อนที่เหมือนเครื่องมือจัดฟันแบบอื่น

  • ข้อดี: หนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่อยากให้เห็นโลหะใดๆ ระหว่างรักษา ตัวอุปกรณ์เก็บกดฟันหลีกเลี่ยงการบาดกระพุ้งแก้ม คนรอบข้างแทบมองไม่เห็น, สามารถถอดได้สะดวกเวลารับประทานอาหารและทำความสะอาดฟัน

  • ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายสูง (ประมาณ 70,000–250,000 บาทแล้วแต่จำนวนชุด), ต้องมีวินัยในการใส่ให้ได้ 20-22 ชั่วโมงต่อวัน, ไม่เหมาะกับปัญหาฟันที่ซับซ้อนมาก

  • ใครเหมาะ: ผู้ใหญ่ที่ต้องการความเรียบหรูและสะดวกสบายสูงสุด เช่น พนักงานต้อนรับ แอร์โฮสเตส นักร้อง นักแสดง ที่ต้องการเลี่ยงการเห็นเครื่องมือจัดฟัน

ตารางเปรียบเทียบการจัดฟันแต่ละประเภท

ประเภทการจัดฟัน จุดเด่น ข้อเสีย ราคาโดยประมาณ
โลหะธรรมดา (Metal Braces) แข็งแรง ราคาย่อมเยา ปรับสียางได้ เห็นชัด ต้องพบทันตแพทย์บ่อย 45,000–65,000 บาท
เซรามิก (Ceramic Braces) แทบมองไม่เห็นเพราะสีเนื้อฟัน อุปกรณ์สีใสอาจเกิดคราบ ต้องดูแลดี 60,000–85,000 บาท
ดามอน (Damon Braces) ไม่ต้องใช้ยางรัด เจ็บน้อยกว่าดามอน ค่าอุปกรณ์สูงขึ้นต้องพบทันตแพทย์น้อย 70,000–95,000 บาท
ด้านใน (Lingual Braces) ซ่อนอยู่ด้านใน มองไม่เห็นเครื่องมือ แปรงทำความสะอาดยาก เจ็บแสบมากกว่า ด้านนอก 150,000–180,000 บาท
ใสถอดได้ (Invisalign/Clear Aligners) ไม่เห็นโลหะ ถอดได้สะดวก ไม่มีการบาดแก้ม ต้องใส่ตามเวลา ราคาแพง ต้องรักษาวินัยในการใส่ 70,000–250,000 บาท

เนื้อหาตารางข้างต้นช่วยให้เข้าใจความแตกต่างของแต่ละประเภทชัดเจน ทั้งวัสดุ รูปแบบการใช้งาน ข้อดี-ข้อเสีย และราคาประมาณเพื่อนำมาพิจารณา

การเลือกประเภทจัดฟันที่เหมาะสม

การตัดสินใจเลือกประเภทการจัดฟัน ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการด้านความสวยงาม (ถ้าต้องการซ่อนเครื่องมือ อาจเลือกเซรามิก ด้านใน หรือใส), ความสะดวกในการดูแลรักษา (เช่น จัดฟันโลหะดูแลง่ายกว่าจัดด้านใน), งบประมาณ (มีตั้งแต่ 45,000 บาทขึ้นไป), และ ระยะเวลารักษา (บางแบบยืดหยุ่นน้อยกว่า) นอกจากนี้ อายุของผู้จัดฟันก็เป็นสิ่งสำคัญ — โดยทั่วไปมักแนะนำให้ตรวจเช็กสุขภาพฟันเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 9-11 ปี เพราะเป็นช่วงที่ฟันแท้ขึ้นเกือบครบแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่มีกำหนดอายุสูงสุดสำหรับจัดฟัน ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ก็จัดฟันได้สำเร็จเช่นกัน

  • ถ้าคุณต้องการประหยัดงบ ควรเลือก จัดฟันโลหะธรรมดา เพราะวัสดุเรียบง่ายและการรักษาคุ้นชินง่ายที่สุด

  • ถ้าคุณเน้นความสวยงาม ไม่อยากให้คนเห็นชัด ควรเลือก เซรามิก, ด้านใน หรือใส ตามความเหมาะสม หากเรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา การจัดฟันด้านในหรือล้างแบบใสจะลบจุดด้อยได้มากที่สุด

  • หากมีปัญหาฟันซับซ้อนต้องการประสิทธิภาพสูง อาจพิจารณา จัดฟันดามอน ที่ช่วยลดอาการเจ็บและติดตามนัดถี่น้อยลง

สุดท้ายนี้ การเลือกจัดฟันแบบใด ควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพฟันของแต่ละบุคคลมากที่สุด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

  • จัดฟันมีกี่ประเภท และแต่ละแบบต่างกันอย่างไร?
    โดยทั่วไปจัดฟันแบ่งเป็น 5 ประเภทหลัก คือ โลหะธรรมดา, เซรามิก, ดามอน, ด้านใน (Lingual) และ จัดฟันแบบใส (Invisalign) แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน เช่น โลหะธรรมดาแข็งแรงและราคาถูกที่สุด ส่วนเซรามิกจะใช้แบร็กเก็ตสีเหมือนฟันให้ดูเนียนกว่า ดามอนเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดการเจ็บขณะจัด, ด้านในจะติดเครื่องมือหลังฟันซ่อนจากสายตาและจัดฟันใสใช้แผ่นพลาสติกใสที่ถอดเข้า-ออกได้สะดวก ข้อดี-ข้อเสียและราคาแต่ละแบบจึงต่างกันไปตามความซับซ้อนของวัสดุและเทคโนโลยี

  • จัดฟันแบบไหนเหมาะกับเรา?
    การเลือกประเภทจัดฟันควรขึ้นกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ หากเน้นราคาถูกและไม่สนใจเรื่องความสวยงามมาก จัดฟันโลหะ เป็นตัวเลือกดี หากต้องการความสวยงามสูง จัดฟันเซรามิก, ด้านใน หรือแบบใส จะเหมาะกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อพิจารณาเรื่องงบประมาณและระยะเวลารักษาด้วย

  • จัดฟันราคาเท่าไหร่?
    ราคา จัดฟัน แต่ละแบบแตกต่างกันมาก แบ่งคร่าวๆ เริ่มต้นจากประมาณ 45,000-65,000 บาท สำหรับจัดฟันแบบโลหะธรรมดาไปจนถึง 150,000-180,000 บาทสำหรับจัดฟันด้านใน การจัดฟันแบบเซรามิกอยู่ระหว่าง 60,000-85,000 บาท ส่วนดามอนอยู่ที่ 70,000-95,000 บาท และจัดฟันใสอยู่ราว 70,000-250,000 บาท ราคาที่แน่นอนขึ้นกับความยากง่ายของเคสและโปรโมชั่นของคลินิกด้วย

  • อายุเท่าไหร่จึงจะเริ่มจัดฟันได้?
    โดยปกติมักแนะนำให้ตรวจเช็กสุขภาพฟันตั้งแต่อายุประมาณ 7-8 ปี แต่การ จัดฟัน จริงนิยมเริ่มเมื่ออายุประมาณ 9-11 ปีขึ้นไปเมื่อฟันแท้ขึ้นครบเกือบทั้งหมด ปัจจุบันยังไม่มีเพดานอายุสูงสุด บางคนเพิ่งจัดฟันในวัยทำงานก็ได้ผลสำเร็จดียิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนา

  • ข้อดีของการจัดฟันคืออะไร?
    การจัดฟัน ช่วยให้ฟันเรียงตัวสวยขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการเคี้ยว ช่วยให้การพูดชัดขึ้น ลดปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบที่มาจากการจัดฟันไม่เรียงตัว นอกจากนี้ยังช่วยเสริมบุคลิกและความมั่นใจได้มาก. อย่างไรก็ดี ควรพิจารณาข้อดี-ข้อเสียแต่ละแบบ และเลือกประเภทที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดครับ

อ่านเพิ่มเติม:

You can share this post!

Facebook
LinkedIn
Email
Print