อาการ “ปวดฟันคุด” ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพช่องปากที่คนจำนวนมากมักเผชิญในช่วงวัยรุ่นถึงวัยหนุ่มสาว แม้ว่าฟันคุดอาจไม่ได้ขึ้นในทุกคน แต่สำหรับผู้ที่มีฟันคุดขึ้นแล้วไม่สามารถงอกออกมาได้ตามปกติ ปัญหานี้มักนำมาสู่ความเจ็บปวด การอักเสบ และปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ตามมา
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันคุด อาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเมื่อไรควรตัดสินใจผ่าตัดฟันคุด และที่สำคัญที่สุดคือแนวทางการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังผ่าตัด เพื่อให้คุณฟื้นตัวได้เร็วที่สุด และลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาในอนาคต
ฟันคุดคืออะไร และทำไมจึงทำให้ปวด?
“ฟันคุด” (Impacted Tooth) คือฟันที่ไม่สามารถงอกออกจากเหงือกได้เต็มที่ตามปกติ มักเป็นฟันกรามซี่ที่สามหรือฟันกรามล่างซี่สุดท้าย ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ฟันคุดเกิดขึ้น เช่น ขนาดขากรรไกรที่เล็กเกินไป หรือฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ส่งผลให้ฟันขึ้นเอียงหรือเบียดฟันข้างเคียง
เมื่อฟันคุดงอกออกมาไม่หมด จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเหงือกกับฟัน เกิดการสะสมของเศษอาหาร คราบแบคทีเรีย และกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ทำให้เหงือกอักเสบ มีอาการบวมแดง ปวดฟันอย่างรุนแรง และอาจลุกลามไปถึงการติดเชื้อรอบๆ ฟัน
เมื่อไรควรตัดสินใจผ่าตัดฟันคุด?
หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อไหร่ควรจะไปพบแพทย์และตัดสินใจผ่าตัดฟันคุด ด้านล่างนี้คือสัญญาณที่คุณควรพิจารณาในการเข้าพบทันตแพทย์
1. ปวดฟันเรื้อรังหรือปวดซ้ำๆ
เมื่อฟันคุดเริ่มงอก จะมีอาการปวดเป็นพักๆ และรุนแรงขึ้นเมื่อฟันพยายามขึ้นแต่ไม่สามารถงอกผ่านเหงือกได้ หากอาการนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าควรผ่าตัดฟันคุด
2. เหงือกบวมและอักเสบบ่อย
อาการเหงือกบวมรอบฟันคุด มีเลือดออกขณะแปรงฟัน หรือรู้สึกเจ็บบริเวณขากรรไกร แสดงว่าฟันคุดกำลังสร้างปัญหาเรื้อรังและจำเป็นต้องรักษาอย่างเร่งด่วน
3. การติดเชื้อหรือมีหนองรอบฟัน
หากมีหนองหรือรู้สึกบวมบริเวณขากรรไกรร่วมกับอาการปวดอย่างรุนแรง อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่เกิดจากฟันคุด และต้องได้รับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันการลุกลาม
4. ฟันคุดเบียดฟันข้างเคียงจนเกิดปัญหาฟันเก
บางครั้งฟันคุดที่ขึ้นผิดตำแหน่งอาจไปเบียดฟันข้างเคียงจนเกิดปัญหาการสบฟันผิดปกติ ฟันเก หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายต่อฟันข้างเคียง จำเป็นต้องถอนฟันคุดออกเพื่อป้องกันปัญหาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
5. ทันตแพทย์แนะนำให้ผ่าตัด
แม้ไม่มีอาการปวด แต่ทันตแพทย์อาจตรวจพบว่าฟันคุดมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในอนาคต และแนะนำให้ถอนออกก่อนจะเกิดปัญหาตามมา
ขั้นตอนการผ่าตัดฟันคุดเบื้องต้น
-
ตรวจวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์ เพื่อวางแผนและประเมินตำแหน่งของฟันคุด
-
ให้ยาชาเฉพาะที่ หรืออาจให้ยาระงับประสาทในกรณีที่จำเป็น
-
ผ่าตัดเปิดเหงือก แล้วถอนฟันคุดออกมา หากจำเป็นอาจต้องตัดฟันเป็นชิ้นย่อย
-
เย็บปิดแผล ด้วยไหมละลายหรือไหมธรรมดา แล้วแต่วิจารณญาณของทันตแพทย์
วิธีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดฟันคุดอย่างถูกต้อง
หลังจากผ่าตัดฟันคุดแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องมีความสำคัญมากต่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและลดการติดเชื้อ โดยมีแนวทางดังนี้:
1. ประคบเย็นลดบวม
-
ประคบด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็นที่ข้างแก้มทันทีหลังผ่าตัด ประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง ทุกๆ 1-2 ชั่วโมงในวันแรก เพื่อลดอาการบวมและปวด
2. ทานยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่ง
-
ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาก่อนกำหนด เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้
3. หลีกเลี่ยงการบ้วนปากรุนแรงในวันแรก
-
ควรบ้วนปากเบาๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่นหลังจาก 24 ชั่วโมง เพื่อลดการติดเชื้อ และช่วยให้แผลสะอาด
4. เลือกอาหารที่เหมาะสม
-
หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรืออาหารที่ต้องเคี้ยวมาก ในช่วง 3-5 วันแรกหลังการผ่าตัด ควรทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุปอุ่นๆ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนแผล
5. งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
-
การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์หลังผ่าตัดอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรงดสูบและดื่มอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
6. ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างเหมาะสม
-
แปรงฟันอย่างเบามือ และหลีกเลี่ยงแปรงบริเวณแผลโดยตรงในช่วงแรก ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ทันตแพทย์แนะนำ
7. พักผ่อนให้เพียงพอ
-
การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ใช้แรงมากอย่างน้อย 3-5 วันหลังผ่าตัด
สรุป ปวดฟันคุด เมื่อไรควรผ่าตัด และวิธีการดูแลหลังผ่า
“อาการปวดฟันคุด” เป็นสัญญาณที่คุณไม่ควรละเลย เพราะฟันคุดอาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงได้ในระยะยาว การเข้าพบทันตแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อวางแผนและตัดสินใจผ่าตัดเป็นแนวทางที่ดีที่สุด
เมื่อผ่าตัดแล้ว ควรดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เช่น การประคบเย็น การทานยา การรักษาความสะอาด และเลือกอาหารที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และปลอดภัย
การดูแลฟันคุดที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้คุณหมดปัญหาปวดฟัน แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากที่จะตามมาในอนาคต ให้คุณสามารถมีสุขภาพช่องปากที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว